วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ซานตาครอส

เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

สตีเฟน ฮอว์คิง


สตีเฟน ฮอว์คิง ( ค.ศ. 1942- ปัจจุบัน ) นักวิทยาศาสตร์แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้นำทฤษฎีพื้นฐานของ นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนมาอธิบายความเป็นไปในจักรวาล โดยนำทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ร่วมกับหลักกลศาสตร์ควอนตัม ของไอน์สไตน์ อธิบายถึงจุดเริ่มต้นของการระเบิดใหญ่(Big Bang)และวาระสุดท้ายของหลุมดำ ( Black Hole )

เอ็ดวิน ฮับเบิล


เอ็ดวิน ฮับเบิล ( ค.ศ. 1889-1953 ) ผู้บุกเบิกการศึกษาเรื่องกาแล็กซี่และเสนอทฤษฎีว่าด้วยเอกภพขยายตัวจากการสังเกตกาแล็กซีทั้งหลายกำลังเคลื่อนที่หนีห่างจากกันและกัน

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ( ค.ศ. 1879-1955) ผู้ปฏิวัติความคิดเดิมและนำวิทยาศาสตร์เข้าสู่ยุคอะตอม โดยเสนอว่า แสงเดินทางเป็นเส้นโค้งในอวกาศ และเชื่อว่าทุกสิ่งในเอกภพมีการ เคลื่อนที่ ไม่มีสิ่งใดอยู่นิ่งโดยสัมบูรณ์การเคลื่อนที่และเวลาจึงเป็น สิ่งสัมพัทธ์ ที่ยังคงความลึกลับอยู่จนบัดนี้ ผู้คิดค้นสูตรแห่งจักรวาล E = mc2 เมื่อเนื้อสาร m กลายเป็นพลังงาน E และ c คือ อัตราเร็วของแสงสว่างในอวกาศ ที่มีค่าคงที่ทุกหนแห่งในเอกภพ

นิโคลัส โคเปอร์นิคัส


นิโคลัส โคเปอร์นิคัส ( ค.ศ. 1473-1543 ) นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์เสนอทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง (Heliocentric) คือดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ โลกและดาวเคราะห์โคจรรอบ ดวงอาทิตย์เป็นวงกลม
เอ็ดมันด์ แฮลลีย์ ( ค.ศ. 1656-1742 ) ผู้ศึกษาดาวหางแฮลลีย์ และพิสูจน์ว่า ดาวหางคือสมาชิกหนึ่งในระบบสุริยะ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ และมีพฤติกรรมเป็นไปตามกฏของแรงโน้มถ่วง เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ทั้งหลายและได้เสนอผลการศึกษาเกี่ยวกับดาวหางดวงหนึ่งที่มาให้ชาวโลกเห็นทุกๆประมาณ ๗๕ ปี

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


เซอร์ ไอแซก นิวตัน ( ค.ศ. 1643-1727 ) ผู้นำโลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยการเสนอกฏแห่งความโน้มถ่วงและ การเคลื่อนที่ของวัตถุ ที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆบนโลก จนไปถึงการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ได้

โจฮันส์ เคปเลอร์ ( ค.ศ. 1571-1630 ) นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้สนับสนุนทฤษฎีของ โคเปอร์นิคัส และค้นพบกฏการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ เป็นรากฐานสำคัญของวิชาดาราศาสตร์



กาลิเลโอ กาลิเลอี ( ค.ศ. 1564-1642 ) นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียน ประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ส่องสังเกต วัตถุท้องฟ้า ค้นพบสิ่งแปลกใหม่มากมาย อาทิ ได้พบว่า ดาวศุกร์ ปรากฏเป็นเสี้ยว พบจุดบนดวงอาทิตย์ พบวงแหวนของดาวเสาร์ พบดวงจันทร์ 4 ดวงใหญ่ของดาวพฤหัสบดี และสนับสนุน ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส แต่สิ่งค้นพบและความคิดใหม่ไม่เป็น ที่ยอมรับของชาวคริสต์ จึงถูกจำขังตลอดชีวิต

นักดาราศาสตร์ของโลก


อริสโตเติล ( 350 ก่อนคริสตกาล ) นักปรัชญาชาวกรีก เสนอทฤษฎีโลกเป็นศูนย์กลาง (Geocentric) คือโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพ มีดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ และดาวฤกษ์ เคลื่อนที่ไปรอบโลก